ขุมทรัพย์จักรวรรดิอัสซีเรียที่ซุกซ่อนในอุโมงค์กลุ่มรัฐอิสลาม

ทีมข่าวบีบีซีแผนกภาษาอาหรับ คือผู้สื่อข่าวกลุ่มสุดท้ายที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปสำรวจภายในอุโมงค์ใต้โบราณสถานในเมืองโมซูล ทางภาคเหนือของอิรักซึ่งกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม (ไอเอส) ขุดเจาะเข้าไปปล้นวัตถุโบราณเพื่อนำออกไปขายทอดตลาด ก่อนที่ทางการอิรักจะชิงเมืองกลับคืนมาแล้วปิดทางเข้าโบราณสถานแห่งนี้

นบียูนุส คือสถานที่บูชาทางศาสนาคริสต์และอิสลามมานานหลายร้อยปี เพราะเชื่อกันว่าที่นี่คือหลุมศพของบุคคลสำคัญทางศาสนาของอิสลามและคริสต์ ที่ชื่อ “ยูนุส” ในคัมภีร์อัลกุรอาน หรือ “โยนาห์” ในคัมภีร์ไบเบิล

หลังจากกลุ่มไอเอส เข้ายึดเมืองโมซูลเมื่อปี 2014 ก็ได้บุกเข้าทำลายและปล้นวัตถุโบราณจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แต่หลังจากกองทัพอิรักชิงเมืองคืนมาได้ในเดือน ม.ค. ปี 2017 ก็พบว่าภายในอุโมงค์ใต้ศาสนสถานแห่งนี้เคยเป็นพระราชวังหรือสถานที่สำคัญในยุคจักรวรรดิอัสซีเรีย ที่มีอายุช่วงศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสต์กาลซุกซ่อนอยู่

เมืองโมซูล ถือเป็นเมืองใหญ่อันดับ 2 ของอิรัก และยังเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณของชาวสุเมเรียน และอาณาจักรอัสซีเรียด้วย ที่ผ่านมากลุ่มไอเอสเคยบุกทำลายสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่งในเมืองโมซูล ซึ่งรวมถึงพิพิธภัณฑ์ และ มัสยิดอัล-นูรี ซึ่งถือเป็น “สมบัติล้ำค่าแห่งหนึ่งของเมืองโมซูล และของอิรัก” ที่ถูกไอเอสระเบิดทำลายเสียหายย่อยยับ

นอกจากนี้ ไอเอส ยังทำลายเมืองนิมรุด ทางตอนเหนือของอิรักจนสิ้นซาก ซึ่งเมืองแห่งนี้เป็นดินแดนเก่าแก่อายุหลายพันปี เคยเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิอัสซีเรีย และยังเป็นสถานที่ที่ถูกอ้างถึงในคัมภีร์ไบเบิล อีกทั้งยังทำลายเมืองมรดกโลกพัลไมราในซีเรียอีกด้วย

กลุ่มไอเอสมองว่าศิลปวัฒนธรรมและรูปเคารพบูชาทุกอย่างที่เกิดก่อนศาสนาอิสลามเป็นสิ่งจอมปลอม ขัดต่อบทบัญญัติของศาสนาอิสลามและสมควรต้องถูกทำลายทิ้ง ซึ่งองค์การยูเนสโกได้ประณามการทำลายโบราณสถานเมืองนิมรุดว่าเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม