เรื่องราวกระเป๋าสตางค์ 1 ใบ มุมมองที่เปลี่ยนไป กับศาสนาอิสลามของชายคนหนึ่ง

เรื่องราวกระเป๋าสตางค์ 1 ใบ มุมมองที่เปลี่ยนไป กับศาสนาอิสลามของชายคนหนึ่ง

เมื่อเราพูดถึงศาสนาอิสลามนั้นในความคิดของบ้างกลุ่มก็อาจจะมองไปในแง่ร้าย และเรื่องราวนี้พูดถึง เร่ืองของชายหนุ่มที่มีทัศนคติของตน ต่อกลุ่มบุคคลหรือศาสนาดังกล่าวนี้ไม่ค่อยสู้ดีนัก ซึ่งไม่แน่ใจว่า ความรู้สึกนี้เกิดมาจากอะไร  อาจจะเกิดมาจากสื่อ และการประชาสัมพันธ์ต่างๆที่มาจากทางฝากตะวันตกบางส่วนที่ปลุกเร้าความเกลียดชังต่อศาสนาอิสลาม หรือ เสนอข่าวที่สื่อถึงด้านที่ไม่ดี และโหดร้ายมาตลอดของชาวมุสลิมต่อสายตาชาวโลกในหลายสิบปีผ่านมา ซึ่งถ้าไม่โลกสวยจนเกินไป 

คือเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาจขกท  ได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวประเทศมุสลิมที่จัดว่าเคร่งมากอีกประเทศหนึ่ง นั่นก็คือประเทศ UAE, Abu Dhabi (อาบูดาบี) นั่นเอง  ที่นั่นจขกท.ได้ไปท่องเที่ยว เยี่ยมชมสถานที่หลายแห่งด้วยกัน   โดยเฉพาะ Sheikh Zayed Grand Mosque ที่เค้าล่ำลือกันว่า เป็นอีก 1 ในมัสยิดที่สวยที่สุดในโลก  ตกแต่งด้วยหินอ่อน และปูพรมทั้งหลัง วิจิตรและงดงามมากๆจริงครับ

จริงๆอยากลงรูปให้ดูมากกว่านี้ แต่เดี๋ยวจะกลายเป็นกระทู้ท่องเที่ยวไปครับ  เพราะจุดประสงค์ของกระทู้นี้คือ ความชื่นชม และทึ่ง  เกี่ยวกับผู้ที่นับถือศาสนาอิสลามนี้ อย่างที่ไม่คาดว่า น่าจะได้พบเจอในบ้านเรา หรือสถานที่ไหนๆ

หลังจากท่องเที่ยวมาอย่างสนุกสนาน  ในวันที่ต้องเดินทางกลับประเทศไทย ราวๆ 9 โมงเช้า(เวลาท้องถิ่น) จขกท.  ได้สะเพร่า  ทำกระเป๋าเงินตกหล่นอยู่ที่ถนน หน้า Terminal 2 ที่สนามบิน Abu Dhabi International Airport ซึ่งโชคร้าย มารู้สึกตัวอีกที ตอนที่นั่งอยู่ในเครื่องขณะกำลังรอ Taxi เพื่อ Takeoff แล้ว  ตอนนั้น ไม่ได้คิดอะไรมาก  แค่เสียดายรูปถ่ายของคุณพ่อที่ท่านเสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งเป็นสมบัติของดูต่างหน้าชิ้นเดียวที่มี  และใส่อยู่ในกระเป๋าใบนั้น  เพราะมีความหมายและคุณค่ากับจิตใจของ จขกท.มาก  ระหว่างที่คิดน้ำตาก็ไหลออกมาทันที เพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้คืนแล้วแน่นอน  เนื่องจากในกระเป๋าเงินนั้นนอกจากรูปภาพดังกล่าวแล้ว  ยังมีเงินสดมูลค่าราวๆ 2,000USD   อีกด้วยครับ

แต่ระหว่างนั้น  ก็ได้ลองส่งข้อความไปหาพี่คนไทย ที่เค้าดูแลเราตอนที่เราพักอยู่ที่ Abu Dhabi  ว่าเราได้ทำกระเป๋าเงินหล่น ตรงจุดที่คาดว่าน่าจะเป็นบริเวณหน้าทางเข้า Terminal 2 พี่คนดังกล่าวหลังจากได้รับข้อความ  เค้าก็รีบบึ่งรถขับมาที่สนามบินอีกครั้งทันที  แต่ไม่สามารถคุยอะไรมากกว่านี้ได้ เพราะ จขกท. ต้องปิดโทรศัพท์ เนื่องจากเครื่องกำลังจะ Takeoff ในไม่ช้านี้แล้ว!!  ระหว่างอยู่บนเครื่องก็คิดอะไรเรื่อยเปื่อย  ฟุ้งซ่านไปหมด  หลักๆก็เรื่องรูปถ่ายคุณพ่อที่เสียไป  และเรื่องที่ต้องไปไล่ปิดบัตรเครดิตต่างๆ รวมไปถึงบัตรประชาชนที่ต้องทำใหม่  ฯลฯ  นึกโทษตัวเองย้ำๆอยู่ตลอดเวลา ว่าทำไมถึงสะเพร่าและไม่รอบคอบมากกว่านี้  เราเคร่งเครียด จนผู้โดยสารที่นั่งข้างๆเรา (เป็นผู้หญิงชาวอังกฤษ  จากที่คุยกันคร่าวๆ เธอมีลูกสาวแต่งงานกับคนไทย และเธอกำลังจะมาเยี่ยมหลานที่กรุงเทพ) เค้าสังเกตเห็นอาการของเรา จึงถามไถ่ พร้อมทั้งมีคำพูดปลอบใจที่ดีมากๆ และฟังแล้วรู้สึกสบายใจ จึงทำให้ จขกท. ผ่อนคลายลงไปมาก ไม่น่าเชื่อ  มีคนเก็บกระเป๋าเงินเราได้ ที่บนถนนหน้า Terminal 2  แล้วนำไปส่งคืนที่สถานีตำรวจด้วยยยยยยย…..  วินาทีนั้นผมแทบไม่เชื่อสายตาตนเองจริงๆครับหลังจากที่เห็นข้อความนี้

หลังจากทำธุระเสร็จ เราก็รีบโทรทางไกลกลับไปที่ Abu Dhabi  ทันที  เนื่องจากอยากรู้เหตุการณ์ว่า ไปตามกันจนเจอได้ยังไง…???   พี่เค้าเล่าให้เราฟังด้วยความตื่นเต้นไม่แพ้เราว่า มีคนขับรถแท๊กซี่ ซึ่งเป็นชาวมุสลิม เก็บกระเป๋าเงินของเราได้ แล้วจึงนำไปส่งคืนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ Airport   ในตอนนั้น  พี่เค้าพยายามจะให้รางวัลเพื่อเป็นของขวัญที่เค้าทำดี  เค้าปฎิเสธไม่รับเงิน และแจ้งกลับมาว่า นี่เป็นพระประสงค์ของอัลเลาะห์ที่ต้องการให้กระเป๋าเงินใบนี้กลับคืนสู่เจ้าของ  แล้วเค้าจะรับเงินได้อย่างไร!?  

หลังจากได้ฟังแล้ว จขกท.  ก็เกิดความทึ่ง   กล่าวคือ… เราเข้าใจว่าทุกศาสนานั้นสอนให้คนทุกคนเป็นคนดีก็จริง  แต่จากประสบการณ์อันน้อยนิด  และโลกทัศน์อันแสนคับแคบของจขกท. นั้น  โดยส่วนตัวยังไม่เคยพบผู้ที่มีความศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อศาสนาที่ตนเองนับถือขนาดนี้มาก่อน ยิ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองโดยตรงนั้น  ต้องถือว่านี่เป็นครั้งแรกจริงๆ   เพราะที่ผ่านๆ มาเคยพบเห็นแต่ในละครซีรีย์ หรือภาพยนต์เท่านั้น และก็มักจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่  อาทิเช่นพวกระเบิดพลีชีพ หรือ การสังหารผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับศาสนาของตน ฯลฯ
กราบขอความกรุณาชาวมุสลิม อย่าเพิ่งว่า จขกท. เพราะภาพที่ผ่านๆมานั้น สื่อต่างๆมักนำเสนอเนื้อข่าวในรูปแบบนี้จริงๆครับ  โดยส่วนตัว จขกท. ไม่ได้รังเกียจชาวมุสลิมแต่อย่างใดนะครับ***

ความทึ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันไม่ใช่ความทึ่งที่มีคนเอาของๆเรามาคืน  แต่มันเป็นความชื่นชมปนความทึ่งแบบสุดๆ!!  ที่บุคคลๆหนึ่งปฎิเสธการยอมรับความดีที่ตนเองนั้นได้กระทำลงไป  โดยอ้างเหตุผลว่ามันไม่ได้เกิดจากความต้องการของเขา  แต่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า!!

คนขับแท๊กซี่ใจดีคนนี้ยังกล่าวต่อไปอีกว่า ไม่สำคัญว่าใครจะเป็นคนเก็บได้ เพราะเค้ามั่นใจว่าชาวมุสลิมทุกคนที่เก็บได้ ก็ต้องนำมาคืนให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งหมดอยู่ดี เพราะศาสนาเค้าไม่สอนให้ลักเล็กขโมยน้อย  และที่สำคัญ  ถ้าลักขโมยในประเทศ UAE กฏหมายบ้านเค้า ซึ่งเป็นกฏหมายอิสลามนั้น บทลงโทษจะรุนแรงมากทีเดียว

ในวันนี้ จขกท. ได้รับกระเป๋าเงินคืนกลับมาแล้ว  ซึ่งทุกอย่างยังอยู่ครบทุกบาททุกสตางค์  แต่คำพูดของคนขับแท๊กซี่ชาวมุสลิมคนนี้ ยังคงกินใจ และจับใจมาตลอดในช่วงหลายวันที่ผ่านมา  จากเดิมนั้นศาสนาอิสลาม  คือศาสนาที่จขกท. ไม่เคยใส่ใจและไม่อยากสนใจศึกษา  เป็นศาสนาที่ภาพลักษณ์ในสายตาชาวโลกนั้นดูรุนแรง และโหดเหี้ยมอำมหิต…    แต่มุมมอง และการกระทำความดี ของคนขับรถแท๊กซี่ชาวมุสลิมเพียงคนเดียวคนนี้…   ได้เปิดโลกทัศน์  และให้มุมมองที่เปลี่ยนไป เกี่ยวกับศาสนาอิสลามต่อตัวผม…