ชาวตุรกีกับศาสนาอิสลาม

ชาวตุรกีกับศาสนาอิสลาม

ชาวเติร์กได้มุ่งหน้าสู่ศาสนาของมุฮำมัด  (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม)  เป็นหมู่คณะ พวกเขาได้แปรเปลี่ยนจากศัตรูตัวฉกาจของอิสลาม สู่การเป็นผู้พิทักษ์อิสลามที่มีความยึดมั่นต่ออิสลามอย่างแรงกล้า  และส่วนหนึ่งจากสิ่งที่ยืนยันถึงบุคลิกภาพแห่งอิสลามของมหาอาณาจักรอุษมานียะฮฺก็คือ  ชาวเติร์กเรียกขานทหารชาวตุรกีว่า  เมฮฺเมตฺซีก  (Mahmatcik)  หมายถึง  “ทหารแห่งมุฮำมัด”  บรรดาคำประกาศของราชสำนักและกฎหมายต่าง ๆ ที่ออกจากราชสำนักอุษมานียะฮฺ  จะประกาศในนามของ  “เดาลัต  อัลอะลียะฮฺ  อัลมุฮำมะดียะฮฺ”  เสมอ

อะฮฺมัด ร่อฟีก  นักประวัติศาสตร์ชาวตุรกี  กล่าวไว้ในหนังสือสารานุกรมของเขาที่ชื่อ  “อัตตารีค  อัลอุมูมีย์  อัลกะบีร”  ว่า  : “อุษมาน  อิบนุ  อุรตุฆฺรุ้ล  มีความเคร่งครัดต่อศาสนาเป็นอันมาก  เขาเชื่อว่าการเผยแผ่ศาสนาอิสลามและทำให้อิสลามแพร่ไปทั่วทุกดินแดนคือ ภารกิจอันศักดิ์สิทธิสำหรับเขา”

ดอฮฺสัน  (Dohsson)  นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศสกล่าวว่า : “ไม่ว่าในยามสงบ หรือในเรื่องการสงคราม  และไม่ว่าการตรากฎหมายในด้านการเมืองการปกครองหรือระบบการทหาร  และไม่ว่าจะเป็นการสำเร็จโทษด้วยการประหารทั้งจากเสนาบดีหรือแม่ทัพใหญ่  ฝ่ายมุขมนตรีและเหล่าเสนาบดีมักจะหันไปพึ่งมุฟตีย์เพื่อขอคำปรึกษาในเรื่องนั้น ๆ และบ่อยครั้งที่มีการหารือกับมุฟตีย์ในปัญหาต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอแก่มุฟตีย์นั่นเป็นเพราะว่า การอ้างสิทธิอันชอบธรรมในการปกครองเพียงอย่างเดียวย่อมไม่เพียงพอ  แต่ถือกันว่าเป็นภารกิจจำเป็นที่จะต้องย้อนกลับไปยังบรรดาผู้นำทางศาสนาในการพิจารณาปัญหาต่าง ๆ ของอาณาจักรเสมอ

เฮอเบิร์ต  อาร์เมอซ์  จิปฺปอนซ์  นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษได้ยืนยันข้อเท็จจริงในเรื่องนี้เอาไว้ในหนังสือของเขาที่ชื่อ  :  การสถาปนาจักรวรรดิออตโตมาน”  ซึ่งเขาเขียนขึ้น  ในปีคศ.1794  และตีพิมพ์ในปีคศ.1916  ว่า  :  “การกำเนิดขึ้นของอาณาจักรออตโตมาน (อุษมานียะฮฺ)  เป็นไปด้วยแรงขับแห่งทิฐิทางศาสนาซึ่งพวกเติร์ก  (ตุรกี)  เป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องนั้น”

มุฮำมัด  ญะมีล  บัยฮัม  กล่าวไว้ในหนังสือ  “อาหรับและชาวเติร์ก”  ว่า  :  “ความเคร่งครัดที่มีต่อศาสนาอิสลามของชาวอุษมานีย์ตุรกี  เป็นสิ่งที่มีความเข้มข้นจริงจังและเด็ดเดี่ยว  โดยที่มุฟตีย์ของศาสนาอิสลามในรัชสมัยของ สุลต่อนส่าลีม  ข่านที่  3  ได้มีคำฟัตวา  (คำวินิจฉัยทางศาสนา)  ถอดสุลต่อนออกจากพระราชอำนาจ  ในปีฮ.ศ.1229/คศ.1807  ด้วยเหตุที่พระองค์นำเอาระเบียบแบบแผนของพวกฝรั่งตะวันตกที่ขัดต่อหลักคำสอน ของศาสนาอิสลามเข้ามาบังคับใช้ในการบริหารราชการแผ่นดินและการถอดสุลต่อนส่า ลีม  ข่านที่  3  ออกจากพระราชอำนาจก็เป็นไปอย่างสมบูรณ์ตามคำชี้ขาดของฟัตวานั้น”

และท่าทีของ สุลต่อนมุร๊อด  ข่านพระราชโอรสของสุลต่อนอูรุคฺ  ข่านที่มีต่อ เซาว์ญี่ย์  โอรสของพระองค์  ถือเป็นจุดสุดยอดแห่งความสัจจริงในความเคร่งครัดของชาวอุษมานีย์ตุรกีที่มีต่อศาสนาอิสลามและข้อชี้ขาดของหลักนิติธรรมอิสลาม

ในขณะที่ เซาว์ญี่ย์ โอรสของสุลต่อนมุร๊อด  ข่าน  สมรู้ร่วมคิดกับเจ้าชายเอ็นเดอร์นีกุส  โอรสของจักรพรรดิจูวานีส  แห่งไบแซนไทน์  บุคคลทั้ง  2  ได้นำกองทัพจากไบแซนไทน์และทหารอุษมานียะฮฺบางส่วนที่ถูกหลอกเข้าทำสงครามรบพุ่งกับกองทัพอิสลามแห่งอุษมานียะฮฺ  ผลของการรบพุ่งจบลงด้วยความปราชัยของฝ่ายที่คิดการใหญ่  เจ้าชายเซาว์ญี่ย์  ตกเป็นเชลยศึกและสุลต่อนมุร๊อด  ข่าน

พระราชบิดาของพระองค์ก็ทรงยืนกรานที่จะนำเรื่องของเจ้าชายเข้าสู่การพิจารณาตัดสินของเหล่านักปราชญ์และตุลาการแห่งนิติธรรมอิสลาม  ซึ่งตัดสินให้สำเร็จโทษเจ้าชายเซาว์ญี่ย์ตามโทษานุโทษที่ก่อการขบถต่อประมุขของรัฐอิสลาม  และการเป็นพันธมิตรกับเหล่าผู้ปฏิเสธเพื่อทำสงครามกับชาวมุสลิม  และในขณะที่บรรดาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทูลขอพระกรุณาจากสุลต่อนให้ทรงพระราชทานอภัยโทษและเนรเทศเจ้าชายเซาว์ญี่ย์เพียงแค่นั้น  ทว่าสุลต่อนมุร๊อด  ข่าน ซึ่งทรงเป็นผู้ศรัทธาที่มีความเคร่งครัดได้ทรงยืนกรานที่จะนำข้อชี้ขาดของหลักนิติธรรมอิสลาม มาดำเนินการกับโอรสของพระองค์  กล่าวคือ  ให้สำเร็จโทษด้วยการประหารชีวิตสถานเดียว