ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความรุนแรงและการทำลาย จริงหรือไม?

ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความรุนแรงและการทำลาย จริงหรือไม?

ท่ามกลางความเข้าใจผิดเกี่ยวกับศาสนาอิสลามในโลกปัจจุบันนั้น ได้ทำให้เกิดคำถามว่าศาสนาอิสลามเป็นศาสนาแห่งความรุนแรงและการทำลายไปเสียแล้วกระนั้นหรือ?แน่นอนว่าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมานั้น

โลกมุสลิมเป็นโลกของพหุสังคมที่ประกอบด้วยผู้คนหลากหลายเชื้อชาติและศาสนาที่ปกครองโลกนับแต่ใจกลางเอเชียไปจนถึงแหลมไอบีเรียนในสเปน จนทำให้โลกมุสลิมกลายเป็นโลกอารยธรรมที่รุ่มรวยและมั่งคั่งด้วยศิลปะวัฒนธรรมมาอย่างยาวนานนับพันปี และแน่นอนว่าสาเหตุที่ทำให้ศาสนาอิสลามกลายเป็นศาสนาที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจได้ถึงเพียงนั้นก็ไม่ได้มาจากการใช้กำลังเข้ายึดครองดินแดนเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นหลักขันติธรรมที่ชาวมุสลิมมีต่อคนต่างศาสนาด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในศาสนาที่ชาวมุสลิมให้การยอมรับมากที่สุดมานับตั้งแต่ยุคศาสดาก็คือคริสตศาสนานั้นเองสำหรับเนื้อความที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้่คือ “พันธสัญญา” ที่นบีมูฮัมหมัดได้มีต่อบาทหลวงแห่งโบสถ์เซนต์แคทเธอรีนบนยอดเขาซีนาย (Saint Catherine’s Monastery) ในประเทศอียิปต์ อันมีเนื้อความว่าท่านจะปกป้องเหล่าคริตชนจากภัยอันตรายทั้งหลาย ซึ่งเนื้อความในพันธสัญญานี้ได้ถูกเขียนขึ้นโดยอาลี ผู้เป็นหลานอาของท่าน (และต่อมาจะเป็นหนึ่งใน “รอชิดูน คอลิฟะท์” หรือคอลิฟท์ผู้ทรงธรรมทั้งสี่แห่งยุค) รู้จักกันในภาษาเปอร์เซียว่า “อัชตินาเมห์” (Āshtīnāmeh) หรือ “หนังสือแห่งสันติภาพ” (Book of Peace)”นี้เป็นจดหมายที่ออกโดยมูฮัมหมัด บิน อับดุลเลาะห์ , ศาสนทูต , ศาสดา , ผู้ศรัทธา และผู้ถูกส่งมาสู้ประชาชาติดั่งที่วางใจในพระเจ้าผู้ทรงเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง เพื่อไม่ให้พวกเขามีข้ออ้างในการตั้งภาคีต่อต้านพระองค์ ด้วยต่อจากนี้ แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงเป็นพระผู้ทรงเดชานุภาพ จดหมายฉบับนี้นำเสนอแก่สาวกของพระเยซูแห่งนาซาเรธทั้งในตะวันออกและตะวันตกซึ่งเป็นชาวอาหรับและชาวต่างชาติที่รู้จักและไม่รู้จัก”จดหมายฉบับนี้ประกอบด้วยคำสาบานแด่พวกเขาและผู้ที่ฝ่าฝืนซึ่งสารในนั้น จะถือว่าเป็นผู้กังขาและผู้ละเมิดต่อสิ่งที่ได้รับบัญชา จะถือว่าเขาเป็นผู้ทุจริตพันธสัญญาของพระเจ้าและปฏิเสธอำนาจของพระองค์ ดูหมิ่นพระศาสนาและเขาจึงสมควรได้รับคำสาปแช่งของพระเจ้า”ไม่ว่าเขาจะเป็นสุลต่านหรือผู้ศรัทธาอื่นๆในศาสนาอิสลาม เมื่อใดก็ตามที่บาทหลวงชาวคริสต์ผู้นับถือศรัทธาและแสวงบุญชุมนุมกันไม่ว่าจะเป็นภูเขาหรือหุบเขา หรือถ้ำ หรือแวะเวียนไปยังที่ราบ หรือโบสถ์ หรือวิหารสถาน เราจะอยู่ที่หลังของพวกเขา และจะปกป้องพวกเขา และจะปกป้องทรัพย์สมบัติ แม้นจะเป็นศีลธรรมจารีตของพวกเขาด้วยตัวเอง โดยสหายของฉัน และโดยภาคีของฉัน เพื่อพวกเขาผู้ซึ่งอยู่ภายใต้การคุ้มครองของฉัน”เราจะปลดเปลื้องจากสิ่งที่อาจสร้างความรำคาญแก่พวกเขา ภาระที่ต้องจ่ายให้คนอื่นๆเพื่อเป็นเครื่องแสดงความสวามิภักดิ์ พวกนั้นจะต้องไม่ได้สิ่งใดในสิ่งที่เขาพึงพอใจ พวกเขาจะต้องไม่ถูกรุกรานหรือถูกรบกวนขู่บังคับ ในหมู่ผู้พิพากษาของพวกเขาไม่ควรถูกเปลี่ยนหรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ เหล่าบาทหลวงจะต้องไม่ถูกรบกวนในการปฏิบัติศาสนกิจผู้ที่ถูกพันธนาการจะต้องหลุดพ้นจากที่คุมขัง”ไม่มีผู้ใดได้รับอนุญาตให้ปล้นชิงคริสตชนเหล่านี้หรือทำร้ายทำลายคริตจักรสถานที่สิ่งบูชาใดๆของพวกเขา หรือข้าวของเครื่องใช้ในบ้านคนเหล่านี้ก็ห้ามแย่งชิงไปยังบ้านของอิสลาม ผู้ใดที่หยิบแย่งชิงอะไรก็ตามไปจากที่นั้น ผู้นั้นนับว่าเป็นผู้ละเมิดพันธสัญญาของพระเจ้าเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาและเป็นผู้ไม่เชื่อฟังในศาตสนทูตของพระองค์”ไม่ควรเรียกเก็บจาซีญะห์ (ภาษีศาสนา) กับผู้พิพากษา บาทหลวง และคนที่ทำงานรับใช้พระศาสนาของพระเจ้า หรือสิ่งอื่นใดที่จะนำมาจากพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นค่าปรับ ภาษี หรือสิทธิอันชอบธรรมใดๆ แท้จริงแล้วเราจักรักษาแผ่นดินของพวกเขาไว้ ไม่ว่าเขาจะอยู่ ณ ที่แห่งใดในทะเลหรือบนแผ่นดิน ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก ในทิศเหนือหรือทิศใต้ เพราะเขาอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเรา และนี้จะเป็นพันธสัญญาของฉันที่จะปกป้องและต่อต้านทุกสิ่งที่พวกเขาเกลียดชัง”ไม่ควรเรียกเก็บภาษีหรือสิบลดจากผู้ที่อุทิศตนเพื่อบูชาพระเจ้าในภูเขาหรือผู้ที่ถูกอบรมศึกษาจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะแทรกแซงกิจการของตนหรือดำเนินการใดๆต่อพวกเขา โดยแท้จริงแล้วกิจการที่ดำเนินนั้นมิได้เกี่ยวข้องก่อประโยชน์ใดสำหรับพวกเขาเลย”ในฤดูเก็บเกี่ยวพวกเขาควรได้รับข้าวสาลีห้าบุชเชลครึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับพวกเขา และไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะพูดกับเขาว่า ‘เรื่องนี้มากเกินไป’ หรือเรียกร้องให้พวกเขาจ่ายภาษีใดๆ”สำหรับผู้มีทรัพย์สมบัติ ผู้ร่ำรวยและพ่อค้า ภาษีที่ต้องเก็บจากพวกเขาจะต้องไม่เกินสิบสองดรัคมาต่อหัว คนเหล่านั้นจะต้องไม่ถูกบังคับให้เดินทางหรือถูกบังคับให้ต้องไปทำสงครามหรือถืออาวุธ สำหรับมุสลิมนั้นจะต้องต่อสู้เพื่อพวกเขา อย่าโต้แย้งหรือเถียงกับพวกเขา แต่จงปฏิบัติตามข้อกำหนดที่บันทึกไว้ในอัลกุรุอานว่าด้วย ‘อย่าโต้แย้งหรือโต้เถียงกับชาวคัมภีร์ (อะลุ้ลฏิตาบ – หมายถึงชาวยิว คริสต์ ซอบิฮ์ และโซโรอัสเตอร์) แต่จงเสนอในสิ่งที่ดีที่สุดแก่เขา ( กุรอาน 29:46 ) “ดังนั้นพวกเขาจะได้รับการสนับสนุนและปกป้องจากทุกสิ่งทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้น จากการละเมิดศรัทธาความเชื่อต่อศาสนา ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม”หากผู้หญิงคริสตชนคนไหนที่แต่งงานกับมุสลิม การสมรสดั่งกล่าวนี้จะเกิดขึ้นมิได้เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากเธอ และไม่ควรที่จะขัดขวางเธอไม่ให้ไปโบสถ์เพื่ออธิฐาน ด้วยโบสถ์ของพวกเขาจะได้รับเกียรติและพวกเขาจะต้องไม่ถูกระงับการสร้างโบถส์หรือซ่อมแซมศาสนสถาน”พวกเขาจะต้องไม่ถูกบังคับให้ถืออาวุธหรือหิน แต่มุสลิมต้องปกป้องพวกเขา และปกป้องพวกเขาจากผู้อื่น นับเป็นหน้าที่ของทุกคนที่นับถืออิสลามที่จะต้องไม่ขัดแย้งหรือไม่ปฏิบัติตามพันธสัญญานี้จนกว่าจะถึงวันกิยามะห์และวันสิ้นโลก…”