ศาสนาอิสลาม

อิสลาม หรือ ศาสนาอิสลาม เป็นศาสนาสำคัญศาสนาหนึ่งของโลก มีคนนับถือประมาณ 1,600 ล้านคน นับว่ามีจำนวนมากที่สุดเป็นอันดับสองในโลก พื้นที่รวมของกลุ่มประเทศมุสลิมทั้งหมดประมาณ 34,722,286 ตารางกิโลเมตร ตั้งแต่ลองจุจุด141 องศาตะวันออก ทางด้านตะวันออกของเขตพรมแดนประเทศอินโดนิเซียทอดยาวไปจนถึงลองจิจูด 17.29 องศาตะวันตก ณ กรุงดาการ์ ประเทศเซเนกัล (Senegal) ซึ่งอยู่ในภาคตะวันตกของทวีปแอฟริกาจนถึงละติจุด 55.26 องศาเหนือ บริเวณเส้นเขตแดนตอนเหนือของประเทศคาซัตสถาน ทอดยาวเรื่อยไปจนถึงเส้นเขตแดนทางตอนใต้ของ ประเทศแทนซาเนียที่ละติจูด 11.44 องศาใต้

ในโลกของเรานี้มีจำนวนประเทศกว่า 200 ประเทศ เป็นประเทศมุสลิมกว่า 67 ประเทศ ในประเทศไทยมีศาสนาอิสลามเข้ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ศาสดาของศาสนาอิสลามคือมุฮัมมัด

ศาสนาอิสลาม คือ ความศรัทธา ข้อบัญญัติเกี่ยวกับการปฏิบัติและจริยธรรม ซึ่งบรรดาศาสดา ที่อัลลอฮฺได้ประทานลงมาเป็นผู้นำ เพื่อมาสั่งสอนและแนะนำแก่มวลมนุษยชาติ สิ่งทั้งหมดเหล่านี้เรียกว่า ดีน หรือ ศาสนา นั่นเอง ผู้ที่มีความศรัทธาจะตระหนักอยู่เสมอว่า ชีวิตของเขาได้พันธนาการเข้ากับอำนาจสูงสุดของพระผู้ทรงสร้างโลก ในทุกสถานภาพของเขาจะรำลึกถึงพระผู้เป็นเจ้า และมอบหมายตนเองให้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของพระองค์ตลอดเวลา เขาเป็นผู้มีจิตใจมั่นคงและมีสมาธิเสมอ

เนื้อหา
ความหมายของอิสลาม
หลักคำสอน
หลักศรัทธา
หลักศรัทธาอิสลามแนวทางซุนนียฺ
หลักศรัทธาแนวทางชีอะฮฺ
หลักจริยธรรม
หลักปฏิบัติ
ศาสนวินัย นิติศาสตร์และการพิพากษา
· ฐานบัญญัติอิสลาม (รุกุน) ของซุนนียฺ

· ฐานบัญญัติอิสลาม (รุกุน) ของชีอะฮฺ

· บทบัญญัติห้ามในอิสลาม (ฮะรอม) ในซุนนีย์และชีอะฮฺ

บทวิจารณ์เกี่ยวกับอิสลาม
หมายเหตุ
ความหมายของ อิสลาม
อิสลาม เป็นคำภาษาอาหรับ (ภาษาอาหรับ: الإسلام) แปลว่า การสวามิภักดิ์ ซึ่งหมายถึงการสวามิภักดิ์อย่างบริบูรณ์แด่ อัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้า ด้วยการปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์ อิสลาม มีรากศัพท์มาจากคำว่า อัส-สิลมฺ หมายถึง สันติ โดยนัยว่าการสวามิภักดิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าจะทำให้มนุษย์ได้พบกับสันติภาพทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ศาสนาอิสลามเป็นศาสนามนุษยชาติตลอดกาล ตั้งแต่แรกเริ่มของการกำเนิดของมนุษย์จนถึงปัจจุบันและอนาคต

บรรดาศาสนทูตในอดีตล้วนแต่ได้รับมอบหมายให้สอนศาสนาอิสลามแก่มนุษยชาติ ศาสนทูตท่านสุดท้ายคือมุฮัมมัด บุตรของอัลดุลลอฮฺ บุตรของอับดุลมุฏ็อลลิบ จากเผ่ากุเรชแห่งอารเบีย ได้รับมอบหมายให้เผยแผ่สาส์นของอัลลอหฺในช่วงปี ค.ศ. 610 – 632 เฉกเช่นบรรพศาสดาในอดีต โดยมี มะลักญิบรีลเป็นสื่อระหว่างอัลลอฮฺพระผู้เป็นเจ้าและมุฮัมมัด

พระโองการแห่งพระผู้เป็นเจ้าที่ทะยอยลงมาในเวลา 23 ปี ได้รับการรวบรวมขึ้นเป็นเล่มมีชื่อว่า อัล-กุรอานซึ่งเป็นธรรมนูญแห่งชีวิตมนุษย์ เพื่อที่จะได้ครองตนบนโลกนี้อย่างถูกต้องก่อนกลับคืนสู่พระผู้เป็นเจ้า

สาส์นแห่งอิสลามที่ถูกส่งมาให้แก่มนุษย์ทั้งมวลมีจุดประสงค์หลัก 3 ประการคือ:

เป็นอุดมการณ์ที่สอนมนุษย์ให้ศรัทธาในอัลลอฮฺ พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ที่สมควรแก่การเคารพบูชาและภักดี ศรัทธาในความยุติธรรมของพระองค์ ศรัทธาในพระโองการแห่งพระองค์ ศรัทธาในวันปรโลก วันซึ่งมนุษย์ฟื้นคืนชีพอีกครั้งเพื่อรับการพิพากษา และรับผลตอบแทนของความดีความชั่วที่ตนได้ปฏิบัติไปในโลกนี้ มั่นใจและไว้วางใจต่อพระองค์ เพราะพระองค์คือที่พึ่งพาของทุกสรรพสิ่ง มนุษย์จะต้องไม่สิ้นหวังในความเมตตาของพระองค์ และพระองค์คือปฐมเหตุแห่งคุณงามความดีทั้งปวง
เป็นธรรมนูญสำหรับมนุษย์ เพื่อให้เกิดความสงบสุขในชีวิตส่วนตัว และสังคม เป็นธรรมนูญที่ครอบคลุมทุกด้าน ไม่ว่าในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ หรือนิตอศาสตร์อิสลามสั่งสอนให้มนุษย์อยู่กันด้วยความเป็นมิตร ละเว้นการรบราฆ่าฟัน การทะเลาะเบาะแว้ง การละเมิดและรุกรานสิทธิของผู้อื่น ไม่ลักขโมย ฉ้อฉล หลอกลวง ไม่ผิดประเวณีหรือทำอนาจาร ไม่ดื่มของมึนเมาหรือรับประทานสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกายและจิตใจ ไม่บ่อนทำลายสังคมแม้ว่าในรูปแบบใดก็ตาม
เป็นจริยธรรมอันสูงส่งเพื่อการครองตนอย่างมีเกียรติ เน้นความอดกลั้น ความซื่อสัตย์ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความเมตตากรุณา ความกตัญญูกตเวที ความสะอาดของกายและใจ ความกล้าหาญ การให้อภัย ความเท่าเทียมและความเสมอภาคระหว่างมนุษย์ การเคารพสิทธิของผู้อื่น สั่งสอนให้ละเว้นความตระหนี่ถี่เหนียว ความอิจฉาริษยา การติฉินนินทา ความเขลาและความขลาดกลัว การทรยศและอกตัญญู การล่วงละเมิดสิทธิของผู้อื่น
อิสลามเป็นศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นทางนำในการดำรงชีวิตทุกด้าน แก่มนุษย์ทุกคน ไม่ยกเว้น อายุ เพศเผ่าพันธ์ วรรณะหรือฐานันดร

หลักคำสอน
หลักคำสอนของศาสนาอิสลามแบ่งไว้ 3 หมวดดังนี้

หลักการศรัทธา
หลักจริยธรรม
หลักการปฏิบัติ
หลักการศรัทธา
อิสลามสอนว่า ถ้าหากมนุษย์ พิจารณาด้วยสติปัญญาและสามัญสำนึกจะพบว่า จักรวาลและมวลสรรพสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ มิได้อุบัติขึ้นมาด้วยตัวเอง เป็นที่แน่ชัดว่า สิ่งเหล่านี้ได้ถูกอุบัติขึ้นมาโดยพระผู้สร้าง ด้วยอำนาจและความรู้ที่ไร้ขอบเขต ทรงกำหนดกฎเกณฑ์ที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไว้ทั่วทั้งจักรวาล ทรงขับเคลื่อนจักรวาลด้วยระบบที่ละเอียดอ่อน ไม่มีสรรพสิ่งใดถูกสร้างขึ้นมาอย่างไร้สาระ

พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตา ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาอย่างประเสริฐจะเป็นไปได้อย่างไร ที่พระองค์จะปล่อยให้มนุษย์ดำเนินชีวิตอยู่ไปตามลำพัง โดยไม่ทรงเหลียวแล หรือปล่อยให้สังคมมนุษย์ดำเนินไปตามยถากรรมของตัวเอง

พระองค์ทรงขจัดความสงสัยเหล่านี้ ด้วยการประทานกฎการปฏิบัติต่าง ๆ ผ่านบรรดาศาสดา ให้มาสั่งสอนและแนะนำมนุษย์ไปสู่การปฏิบัติ สำหรับการดำเนินชีวิต แน่นอนมนุษย์อาจมองไม่เห็นผล หรือได้รับประโยชน์จากการทำความดี หรือได้รับโทษจากการทำชั่ว ของตน

จากจุดนี้ทำให้เข้าใจได้ทันทีว่า ต้องมีสถานที่อื่นอีก อันเป็นสถานที่ตรวจสอบการกระทำของมนุษย์ อย่างละเอียดถี่ถ้วน ถ้าเป็นความดีพวกเขาจะได้รับรางวัลเป็นผลตอบแทน แต่ถ้าเป็นความชั่วกจะถูกลงโทษไปตามผลกรรมนั้น ศาสนาได้เชิญชวนมนุษย์ไปสู่หลักการศรัทธา และความเชื่อมั่นที่สัตย์จริง พร้อมพยามผลักดันมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความโง่เขลาเบาปัญญา

หลักศรัทธาอิสลามแนวซุนนีย์
ศรัทธาว่าอัลลอฮฺเป็นพระเจ้า
ศรัทธาในบรรดาคัมภีร์ต่าง ๆ ที่อัลลอหฺประทานลงมาในอดีต เช่นเตารอต อินญีล ซะบูร และอัล-กุรอาน
ศรัทธาในบรรดาศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ และนบีมุฮัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม เป็นศาสนทูตคนสุดท้าย
ศรัทธาในบรรดามะลาอิกะฮฺ บ่าวผู้รับใช้อัลลอฮฺ
ศรัทธาในวันสิ้นสุดท้าย คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้
ศรัทธาในกฎสภาวะ
หลักศรัทธาอิสลามแนวชีอะฮฺ

เตาฮีด (เอกภาพ) คือศรัทธาว่าอัลลอฮฺทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียว ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากพระองค์
อะดาละฮฺ (ความยุติธรรม) คือศรัทธาว่าอัลลอหฺทรงยุติธรรมยิ่ง
นุบูวะฮฺ (ศาสดาพยากรณ์) คือศรัทธาว่าอัลลอฮฺได้ทรงส่งศาสนทูตต่าง ๆ ที่อัลลอฮฺได้ทรงส่งมายังหมู่มนุษย์ หนึ่งในจำนวนนั้นคือนบีมุฮัมมัด
อิมามะหฺ (การเป็นผู้นำ) ศรัทธาว่าผู้นำสูงสุดในศาสนาจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาสนทูตมุฮัมมัดเท่านั้น จะเลือกหรือแต่งตั้งกันเองไม่ได้ ผู้นำเหล่านั้น มี 12 คนคือ อะลีย์ บินอะบีฏอลิบและบุตรหลานของอะลีย์ และฟาฏิมะฮฺอีก 11 คน
มะอาด (การกลับคืน) ศรัทธาในวันฟื้นคืนชีพ คือหลังจากสิ้นโลกแล้ว มนุษย์จะฟื้นขึ้น เพื่อรับการตอบสนองความดีความชั่วที่ได้ทำไปบนโลกนี้
หลักจริยธรรม

ศาสนาสอนว่า ในการดำเนินชีวิตจงเลือกสรรเฉพาะสิ่งที่ดี อันเป็นที่ยอมรับของสังคม จงทำตนให้เป็นผู้ดำรงอยู่ในศีลธรรม พัฒนาตนเองไปสู่การมีบุคลิกภาพที่ดี เป็นคนที่รู้จักหน้าที่ ห่วงใย มีเมตตา มีความรัก ซื่อสัตย์ต่อผู้อื่น รู้จักปกป้องสิทธิของตน ไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น เป็นผู้มีความเสียสละไม่เห็นแก่ตัว และหมั่นใฝ่หาความรู้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของผู้มีจริยธรรม ซึ่งความสมบูรณ์ทั้งหมดอยู่ที่ความยุติธรรม

หลักการปฏิบัติ

ศาสนาสอนว่า กิจการงานต่าง ๆ ที่จะทำนั้น มีความเหมาะสมกับตนเองและสังคม ขณะเดียวกันต้องออกห่างจากการงานที่ไม่ดี ที่สร้างความเสื่อมเสียอย่างสิ้นเชิง

ส่วนการประกอบคุณงามความดีอื่น ๆ การถือศีลอด การนมาซ และสิ่งที่คล้ายคลึงกับสิ่งเหล่านี้ เป็นการแสดงให้เห็นถึงการเป็นบ่าวที่จงรักภักดี และปฏิบัติตามบัญชาของพระองค์ กฎเกณฑ์และคำสอนของศาสนา ทำหน้าที่คอยควบคุมความประพฤติของมนุษย์ ทั้งที่เป็นหลักศรัทธา หลักปฏิบัติและจริยธรรม

เราอาจกล่าวได้ว่าผู้ที่ละเมิดคำสั่งต่าง ๆ ของศาสนา มิได้ถือว่าเขาเป็นผู้ที่ศรัทธาอย่างแท้จริง หากแต่เขากระทำการต่าง ๆ ไปตามอารมณ์และความต้องการใฝ่ต่ำของเขาเท่านั้น

ศาสนาอิสลามในความหมายของอัล-กุรอานนั้น หมายถึง “แนวทางในการดำเนินชีวิต ที่มนุษย์จะปราศจากมันไม่ได้” ส่วนความแตกต่างระหว่างศาสนากับกฎของสังคมนั้น คือศาสนาได้ถูกประทานมาจากพระผู้เป็นเจ้า ส่วนกฎของสังคมเกิดขึ้นจากความคิดของมนุษย์ อีกนัยหนึ่ง ศาสนาอิสลามหมายถึง การดำเนินของสังคมที่เคารพต่ออัลลอฮฺและเชื่อฟังปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์

อัลลอห ตรัสเกี่ยวกับศาสนาอิสลามว่า “แท้จริง ศาสนา ณ อัลลอฮฺ คืออิสลาม บรรดาผู้ที่ได้รับคัมภีร์ได้ขัดแย้งกัน นอกจากภายหลังที่ความรู้มาปรากฏแก่พวกเขา ทั้งนี้เนื่องจากความอิจฉาริษยาระหว่างพวกเขา และผู้ใดปฏิเสธโองการต่าง ๆ ของอัลลอฮฺแน่นอน อัลลอหฺทรงสอบสวนอย่างรวดเร็ว (อัลกุรอาน อาลิอิมรอน:19)

ศาสนวินัย นิติศาสตร์และการพิพากษา
วาญิบ คือหลักปฏิบัติภาคบังคับที่มุกัลลัฟ (มุสลิมผู้อยู่ในศาสนนิติภาวะ) ทุกคน ต้องปฏิบัติตาม ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงทัณฑ์ เช่นการปฏิบัติตาม ฐานบัญญัติของอิสลาม (รุกน) ต่าง ๆ การศึกษาวิทยาการอิสลาม การทำมาหากินเพื่อเลี้ยงดูครอบครัว เป็นต้น
ฮะรอม คือกฏบัญญัติห้ามที่มุกัลลัฟทุกคนต้องละเว้น ผู้ที่ไม่ละเว้นจะต้องถูกลงทัณฑ์
ฮะลาล คือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ อันได้แก่ การนึกคิด วาจา และการกระทำที่ศาสนาได้อนุมัติให้ เช่น การรับประทานเนื้อปศุสัตว์ที่ได้รับการเชือดอย่างถูกต้อง การค้าขายโดยสุจริตวิธี การสมรสกับสตรีตามกฏเกณฑ์ที่ได้ระบุไว้ เป็นต้น
มุสตะฮับหรือที่เรียกกันติดปากว่า ซุนนะหฺ (ซุนนะห์, ซุนนัต) คือกฏบัญญัติชักชวนให้มุสลิม และมุกัลลัฟกระทำ หากไม่ปฏิบัติก็ไม่ได้เป็นการฝ่าฝืนศาสนวินัย โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการใช้น้ำหอม การขริบเล็บให้สั้นเสมอ การนมาซนอกเหนือการนมาซภาคบังคับ
มักรูฮฺคือกฏบัญญัติอนุมัติให้มุกัลลัฟกระทำได้ แต่พึงละเว้น คำว่า มักรูหฺ ในภาษาอาหรับมีความหมายว่า น่ารังเกียจ โดยทั่วไปจะเกี่ยวข้องกับหลักจริยธรรม เช่นการรับประทานอาหารที่มีกลิ่นน่ารังเกียจ การสวมเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ขัดต่อกาลเทศะ เป็นต้น
มุบาฮฺคือสิ่งที่กฏบัญญัติไม่ได้ระบุเจาะจง จึงเป็นความอิสระสำหรับมุกัลลัฟที่จะเลือกกระทำหรือละเว้น เช่นการเลือกพาหนะ อุปกรณ์เครื่องใช้ หรือ การเล่นกีฬาที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติห้าม
ฐานบัญญัติอิสลาม (รุกุน) ของซุนนีย์

  1. การปฏิญาณตนว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ
  2. และมุฮัมมัดเป็นศาสนทูตของอัลลอฮฺ
  3. ดำรงการนมาซ วันละ 5 เวลา
  4. จ่ายซะกาต
  5. ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนทุกปี
  6. บำเพ็ญฮัจญ์หากมีความสามารถ

ฐานบัญญัติอิสลาม (รุกุน) ของชีอะหฺ
ดำรงการนมาซวันละ 5 เวลา
จ่ายซกาต (ทานบังคับ)
ายคุมซ์นั่นคือ จ่ายภาษี 1 ใน 5 ให้แก่ผู้ปกครองอิสลาม
บำเพ็ญฮัจญ์หากมีความสามารถทั้งกำลังกาย และกำลังทรัพย์
ถือศีลอดในเดือนรอมฎอนทุกปี
ญิฮาดนั่นคือการปกป้องและเผยแผ่ศาสนาด้วยทรัพย์และชีวิต
สั่งใช้ในสิ่งที่ดี
สั่งห้ามไม่ให้ทำชั่ว
การภักดีต่อบรรดาอิมามอันเป็นผู้นำที่ศาสนากำหนด
การตัดขาดจากศัตรูของบรรดาอิมามอันเป็นผู้นำที่ศาสนากำหนด
กฎบัญญัติห้ามในอิสลาม (ฮะรอม) ในซุนนีย์และชีอะหฺ

  1. การตั้งภาคีต่ออัลลอฮฺ
  2. การแหนงหน่ายต่อความเมตตาของอัลลอฮฺ
  3. การหมดหวังในความเมตตาต่ออัลลอฮฺ
  4. การเชื่อว่าสามารถรอดพ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺ
  5. การสังหารชีวิตผู้ไม่มีความผิด
  6. การเนรคุณต่อมารดาและบิดา
  7. การตัดขาดจากญาติพี่น้อง
  8. การกินทรัพย์สินของลูกกำพร้าโดยอธรรม
  9. การกินดอกเบี้ย
  10. การผิดประเวณี
  11. การรักร่วมเพศระหว่างชาย
  12. การใส่ร้ายผู้บริสุทธิ์ว่าทำผิดประเวณีหรือรักร่วมเพศ
  13. การดื่มสุราเมรัยหรือทำการใดที่เกี่ยวข้องกับสุราเมรัย
  14. เล่นการพนัน
  15. การอยู่กับการละเล่นบันเทิง
  16. การฟังหรือขับร้องเพลงและเล่นดนตรี
  17. การพูดเท็จ
  18. การสาบานเท็จ
  19. การเป็นพยานเท็จ
  20. การไม่ยอมให้การหรือเป็นพยาน
  21. การผิดสัญญา
  22. การทำลายไม่รับผิดชอบสิ่งที่ได้รับมอบหมาย
  23. การขโมยลักทรัพย์
  24. การหลอกลวง
  25. การรับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่ได้มาโดยทุจริตวิธี
  26. การไม่ยอมจ่ายหนี้หรือเหนี่ยวรั้งทรัพย์สินของผู้อื่น
  27. การหนีจากสงครามศาสนา
  28. การกลับคืนสู่อวิชชาหลังจากได้เรียนรู้สัจธรรมอิสลามแล้
  29. การฝักใฝ่กับผู้อธรรม
  30. การไม่ช่วยเหลือผู้ถูกอธรรม
  31. การเรียนและทำคุณไสย
  32. ความฟุ่มเฟือย
  33. ความเย่อหยิ่งทระนง
  34. การต่อสู้กับศรัทธาชน
  35. รับประทานซากสัตว์ เลือด เนื้อสุกร และสัตว์ที่ไม่ได้ถูกเชือดตามหลักศาสนา
  36. การละทิ้งการนมาซ
  37. การไม่จ่ายซะกาต
  38. การไม่ใยดีต่อการทำฮัจญฺ
  39. การละทิ้งกฎบัญญัติศาสนา เช่น การถือศีลอด ญิฮาดการสั่งทำความดี การห้ามทำความชั่ว
  40. การทำบาปเล็กบาปน้อยจนเป็นกิจวัตร
  41. การนินทากาเล
  42. การยุยงให้ผู้คนแตกแยกกัน
  43. การวางแผนหลอกลวงผู้อื่น
  44. อิจฉาริษยา
  45. การกักตุนสินค้าจนทำให้ข้าวยากหมากแพง
  46. การตั้งตัวเป็นศัตรูต่อศรัทธาชน
  47. การรักร่วมเพศระหว่างหญิง
  48. การเป็นแมงดาหรือแม้เล้าติดต่อให้แก่โสเภณี การยินยอมให้ภรรยาและบุตรีผิดประเวณี
  49. การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง (มีทัศนะว่า น่ารังเกียจ)
  50. การทำการอุตริในศาสนา
  51. การพิพากษาคดีด้วยความฉ้อฉล
  52. การทำสงครามในเดือนต้องห้ามทั้งสี่ คือ ซุลกออิดะฮฺ ซุลฮิจญะฮฺ มุฮัรรอม และเราะญับ นอกจากจะเป็นฝ่ายถูกรุกราน
  53. การล่วงละเมิดสิทธิของศรัทธาชนด้วยการล้อเล่น ลบหลู่ ดูหมิ่น เหยียดหยาม ด่าทอ
  54. การหักห้ามกีดกันผู้อื่นเข้าสู่สัจธรรม
  55. การเนรคุณต่อคุณงามความดีของอัลลอฮฺ
  56. การก่อเหตุวุ่นวายในสังคม
  57. การขายอาวุธแก่ที่ก่อความไม่สงบสุข
  58. การใส่ร้ายผู้อื่น
  59. การไม่ให้ความเคารพต่ออัลลอฮฺ
  60. การลบหลู่ดูหมิ่นต่อกะอฺบะฮฺ
  61. การลบหลู่ดูหมิ่นต่อมัสญิด
  62. การที่บุรุษสวมใส่ผ้าไหม
  63. การใช้ภาชนะทำด้วยทองคำและเงิน